เมื่อไม่นานมานี้ Opn Payments ได้จัดงาน "Unlocking the Power of Secure & Seamless Payments to Maximize Repeat Purchases" ร่วมกับ Amazon Web Services (AWS) ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในวงการเทคโนโลยีและการชำระเงินมาพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเข้ามาเป็นมาตรฐานในการชำระเงิน นั่นก็คือ Network Tokenization
มาดูกันว่าเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจและสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้นได้อย่างไร
ในเซสชันแรก คุณอิศราดร หะริณสุต กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง จาก Opn ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ปลอดภัยและราบรื่นไม่มีสะดุดให้กับผู้ใช้
คุณอิศราดรได้เล่าถึงวิวัฒนาการในการชำระเงินสำหรับธุรกิจออนไลน์ ตั้งแต่ปี 2538 ที่บริษัทอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่อย่าง Amazon และ eBay ได้เริ่มส่งเช็คทางไปรษณีย์ มาจนถึงวันนี้ที่ผู้บริโภคคาดหวังว่าตนเองจะสามารถชำระเงินได้อย่างราบรื่นในทุกช่องทางตลอด 24 ชั่วโมง
“ประสบการณ์การชำระเงินในทุกวันนี้ต้องราบรื่นในระดับที่ผู้ใช้ไม่ทันสังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ” คุณอิศราดร หะริณสุต กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง จาก Opn
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาอัตราการละทิ้งตะกร้า (Cart Abandonment Rate) ในปัจจุบันสูงถึง 70% การช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินได้ง่ายขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยสามารถเริ่มจากการปรับปรุงประสบการณ์การชำระเงินผ่านมือถือ และการใช้ฟีเจอร์บันทึกข้อมูลบัตร (One-Click Checkout) นอกจากนี้ การรักษาลูกค้าเดิมก็เป็นสำคัญเช่นเดียวกัน ซึ่งธุรกิจสามารถช่วยให้ลูกค้าเดิมจ่ายเงินได้ง่ายขึ้นด้วยการใช้ระบบตัดเงินอัตโนมัติตามรอบ (Recurring Payment)
เมื่อแบรนด์สร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ราบรื่นและปลอดภัย ก็จะช่วยลดการทิ้งตะกร้าและเพิ่มการซื้อซ้ำได้มากขึ้น ซึ่งการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้านั้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน แต่สำหรับงานนี้ เราโฟกัสไปที่ 2 ปัจจัย ได้แก่ ความพร้อมใช้งานระบบ และโทเคนไนเซชั่น (Tokenization)
คุณสาโรจน์ ปุญญพัฒนกุล Head of Technology จาก Amazon Web Services (Thailand) ได้แชร์หลักการในการรักษาความพร้อมใช้งานระบบ (Service Availability) ของ AWS เพื่อช่วยให้ธุรกิจในอุตสาหกรรมการเงินสามารถให้บริการได้อย่างราบรื่น
Werner Vogels ซึ่งเป็น Chief Technology Officer ของ Amazon เคยกล่าวไว้ว่า "Everything fails, all the time” (ทุกอย่างเกิดข้อผิดพลาดได้เสมอ) ซึ่งเป็นหลักการเบื้องหลังวิธีที่ AWS ออกแบบบริการต่างๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง เช่น
โครงสร้างระบบที่มีความซ้ำซ้อน: AWS ออกแบบระบบสายสัญญาณให้มีความซ้ำซ้อนกัน เพื่อให้ระบบสามารถเปลี่ยนไปส่งข้อมูลทางอื่นได้อย่างต่อเนื่อง หากสายสัญญาณเส้นใดเส้นหนึ่งเกิดความเสียหาย
การตรวจจับความเสียหายและการย้ายเวิร์กโหลด: AWS สามารถตรวจจับความเสียหายที่เกิดขึ้นในระบบและตอบสนองได้อย่างรวดเร็วด้วยการย้ายเวิร์กโหลดไปที่อื่น ช่วยลดเวลาในกรณีที่ระบบล่ม (Downtime) ให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด
การให้ผู้สร้างระบบดูแลระบบด้วยตนเอง: AWS ให้ผู้สร้างระบบเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลระบบเพื่อให้สามารถระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่า และยังช่วยให้การแก้ไขปัญหารวดเร็วขึ้นอีกด้วย
AWS เป็นพาร์ทเนอร์กับ Opn Payments มายาวนาน โดยส่งมอบโซลูชันที่ช่วยให้เราสามารถส่งมอบบริการแก่ร้านค้าได้แบบไม่มีสะดุด แม้จะเป็นช่วงเวลาที่มีผู้ซื้อใช้บริการพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากก็ตาม
คุณจิตสุภา เชี่ยววิทย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย จาก Opn (Thailand) ได้เล่าถึงอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างประสบการณ์ชำระเงินที่ปลอดภัยและราบรื่นให้แก่ลูกค้าได้ นั่นก็คือ Tokenizaion และยังเล่าถึง Network Tokenization ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการรับชำระค่าสินค้าและบริการอีกด้วย
Tokenization คือการแปลงข้อมูลบัตรเป็นโทเคน (ชุดตัวอักษรและตัวเลขที่สุ่มขึ้น) เพื่อซ่อนบัตรที่แท้จริง ทำให้ผู้ให้บริการรับชำระเงินเก็บรักษาข้อมูลบัตรให้ปลอดภัยและนำข้อมูลบัตรมาใช้ในธุรกรรมครั้งต่อไปได้โดยที่ผู้ถือบัตรไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในฟีเจอร์อย่าง One-Click Checkout และ Recurring Payment
ที่ผ่านมา เมื่อผู้ถือบัตรกรอกข้อมูลในหน้าเช็คเอาท์เพื่อทำการชำระเงิน หรือบันทึกข้อมูลบัตรไว้กับร้านค้าเมื่อทำการสมัครรับบริการรายเดือน (Subscription Plan) ผู้ให้บริการเพย์เมนต์เกตเวย์จะทำหน้าที่แปลงข้อมูลบัตรของลูกค้าเป็นโทเคน ในแง่ความปลอดภัยแล้วการทำ Tokenization แบบนี้ถือว่าปลอดภัยตามหลักสากล แต่ในแง่ของประสบการณ์การใช้งานของผู้ซื้อแล้วยังสามารถพัฒนาให้ราบรื่นได้อีก เช่น ในกรณีที่บัตรซึ่งถูกบันทึกไว้กับร้านค้าหายหรือหมดอายุ ขั้นตอนการชำระเงินจะหยุดชะงัก เนื่องจากผู้ซื้อต้องทำการกรอกข้อมูลบัตรใหม่เอง
Network Tokenization คือการทำ Tokenization ที่ถูกยกระดับให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยเครือข่ายบัตรจะทำหน้าที่เป็นผู้ออกโทเคน นั่นหมายความว่าบัตรแต่ละใบจะมีโทเคนเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งจะสามารถใช้ได้กับทุกร้านค้าและทุกแพลตฟอร์ม และเมื่อโทเคนอยู่ในความควบคุมของเครือข่ายบัตร เมื่อมีการออกบัตรใหม่ในกรณีที่บัตรหายหรือหมดอายุ โทเคนจะถูกอัปเดตด้วยข้อมูลบัตรใหม่โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จึงไม่จำเป็นต้องลบข้อมูลบัตรออกจากระบบและบันทึกใหม่เอง แต่สามารถซื้อสินค้าและรับบริการได้อย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนไปให้เครือข่ายบัตรเป็นผู้ออกโทเคนเองจะมีประโยชน์ต่อธุรกิจดังนี้
ยกระดับความปลอดภัย: การทำ Network Tokenization โดยเครือข่ายบัตรจะช่วยลดความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูลได้มากขึ้น
เพิ่มอัตราการอนุมัติรายการ: โทเคนที่สร้างโดยเครือข่ายบัตรซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยธนาคารจากทั่วโลก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบการทำรายการชำระเงิน และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บัตร
สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น: ระบบของเครือข่ายบัตรจะอัปเดตโทเคนโดยอัตโนมัติเมื่อบัตรหมดอายุหรือบัตรหาย จึงลดอัตราการทิ้งตะกร้าได้
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Network Tokenization และผลกระทบต่อการชำระเงินได้ที่ “Network Tokenization คืออะไร? ทำความเข้าใจมาตรฐานใหม่ในการปกป้องข้อมูลบัตร”
(จากซ้าย-ขวา) คุณปิณฑิรา วันยนาพร Enterprise Account Manager จาก Opn (Thailand) คุณจิตสุภา เชี่ยววิทย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย จาก Opn (Thailand) คุณฉัตรชัย กฤชเศรษฐสกุล Technical Director จาก Sunday Insurance และคุณศุภศิษฐ์ ติรรักธรรมกิจ Senior Director, Head of Merchant Sales & Acquiring จาก Visa International (Thailand)
ในช่วงเสวนา เราได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาร่วมแชร์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการชำระเงินที่ธุรกิจควรจับตามอง นอกเหนือจาก Network Tokenization แล้ว เทคโนโลยีอื่นๆ ที่จะเข้ามาสร้างประสบการณ์ในการชำระเงินที่ดียิ่งขึ้นมีดังนี้
3D Secure 2.0: ระบบใหม่นี้มีข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมมากขึ้น 10 เท่า โดยมีทั้งข้อมูลประวัติและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถวิเคราะห์และอนุมัติรายการได้เร็วขึ้นและปลอดภัยขึ้น
Frictionless Authentication: ลดการใช้ OTP และหันมาใช้วิธีการยืนยันตัวตนในรูปแบบอื่นๆ เช่น การส่ง Push Notification ทางโทรศัพท์แทน ซึ่งจะทำให้สามารถชำระเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น
One-Click Checkout: การบันทึกข้อมูลบัตรจะพัฒนาไปอีกขั้น โดยผู้ใช้จะสามารถใช้อีเมลและรหัสผ่านเดียวในการชำระเงินได้หลายแพลตฟอร์ม และยังสามารถบันทึกข้อมูลอื่นๆ อย่างที่อยู่การจัดส่งและที่อยู่เรียกเก็บเงินได้อีกด้วย
วิธีการชำระเงินที่หลากหลาย: ธุรกิจอาจลองเพิ่มวิธีการชำระเงินอื่นๆ ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นอย่าง Buy Now, Pay Later (BNPL) หรืออีวอลเล็ตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ทั้งหมดนี้คือสรุปสาระสำคัญจากงาน "Unlocking the Power of Secure & Seamless Payments" เราขอขอบคุณวิทยากรและผู้เข้าร่วมงานทุกท่านที่ช่วยทำให้งานนี้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ เราขอขอบคุณ Amazon Web Services (AWS) ที่ร่วมสนับสนุนให้งานนี้เกิดขึ้นได้
อย่าลืมติดตามข่าวสารที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการชำระเงินไปกับ Opn Payments ได้ที่บล็อกของเรา
6 ตุลาคม 2567
29 สิงหาคม 2567
30 กรกฎาคม 2567
เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อวิเคราะห์การใช้และปรับการใช้งานให้เหมาะกับท่าน เมื่อกดยอมรับหรือเข้าชมเว็บไซต์ต่อ เราถือว่าท่านยินยอมในการใช้งานคุกกี้ของเว็บไซต์ อ่านนโยบายความเป็นส่วนตัว