แม้เทคโนโลยีจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว แต่ในบริบทของการซื้อประกัน ทั้งประกันชีวิต (life insurance) และประกันวินาศภัย (non life insurance) เราจะพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงนิยมซื้อผ่านช่องทางที่ได้มีปฏิสัมพันธ์ดยตรงกับผู้ขายแบบที่เคยทำกันมา หลายๆ คนยังเลือกที่จะปรึกษาและซื้อกับตัวแทนโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประกันแบบที่มีสิทธิ์ในกรมธรรม์เยอะๆ เงื่อนไขความคุ้มครองมีรายละเอียดปลีกย่อยมากๆ บ่อยครั้งจะพบว่าลูกค้าซื้อเพราะความสัมพันธ์และบริการหลังการขาย มีตัวแทนแล้วอุ่นใจ หากมีเรื่องฉุกเฉินก็สามารถยกหูโทรศัพท์ตรวจสอบสิทธิ์การเบิกค่าใช้จ่ายได้ทันที หรือฝากตัวแทนช่วยดูแลเดินเรื่องเอกสารการเคลมต่างๆ ให้ด้วย

ในปีที่ผ่านมาช่องทางการขายประกันที่ได้รับความนิยมเป็นลำดับแรกๆ คือการซื้อผ่านตัวแทน, นายหน้า, ธนาคาร และทางโทรศัพท์

บริษัทประกันจะเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างไรเมื่อลูกค้ายังติดตัวแทน?

ความสะดวกสบายเป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับผู้บริโภคไปแล้ว เราจึงเห็นว่าบริษัทต่างพากันกำหนดเป้าหมายให้เป็นองค์กรแบบดิจิทัล แม้จะยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ไม่สามารถทำทุกอย่างให้เป็นออนไลน์ได้แบบเต็มตัวซะทีเดียว แต่ก็มีการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปปรับใช้ เพื่อยกระดับการซื้อขายแบบเดิมๆ ให้เข้ากับยุคสมัยและไลฟ์สไตล์ของคนมากขึ้น

ผลสำรวจจาก Investopedia พบว่าในช่วงปี 2019 ถึง 2023 อินชัวร์เทค (insurtech) ทั่วโลกจะเติบขึ้นเฉลี่ยปีละ 41% อย่างในตอนนี้เราก็จะเห็นการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในการซื้อขายประกันมากขึ้น มีการคำนวณเบี้ยออนไลน์, แบบฟอร์มสำหรับกรอกข้อมูลออนไลน์, การตรวจสภาพออนไลน์ รวมไปถึงการชำระเงินค่าเบี้ยออนไลน์ เป็นต้น

ดึงเพย์เมนต์เกตเวย์มาเป็นตัวช่วย

เพย์เมนต์เกต์เวย์หรือระบบรับชำระเงินเป็นตัวกลางที่เข้ามาช่วยทั้งบริษัทประกันและตัวแทนในเรื่องการรับชำระเงินค่าเบี้ย อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ คือการรับชำระเงินออนไลน์สำหรับประกันแบบที่ขายผ่านทางเว็บไซต์ จริงๆ แล้วเพย์เมนต์เกตเวย์ยังมีคุณสมบัติการทำงานอีกมากที่จะช่วยผลักดันและยกระดับธุรกิจประกัน บทความนี้เราจะมาอธิบายถึง 4 ฟีเจอร์หลักๆ

1. ลิงก์รับชำระเงิน: ให้ลูกค้ากดจ่ายค่าเบี้ยจากข้อความแจ้งเตือนได้เลย

เส้นทางการซื้อสินค้าหรือบริการเดี๋ยวนี้เป็นการผสานระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ไว้ด้วยกัน ลิงก์เป็นฟีเจอร์ที่สามารถเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายตรงนี้ได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการตกลงซื้อประกันทางโทรศัพท์หรือแชท หรือตัวแทนแจ้งเตือนการชำระค่าเบี้ย สามารถส่งเป็นลิงก์รับชำระเงินผ่านช่องทางที่คุยกันอยู่ได้เลย เพื่อให้ลูกค้าคลิกแล้วชำระเงินผ่านบัตรได้ทันที ช่วยทั้งเรื่องของความสะดวกสบายและเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าชำระเงินตรงเวลา นอกจากนี้ยังพบว่ามีการชำระเงินทันทีหรือภายในวันเดียวกันกับที่แจ้งเตือนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

2. การติดตามสถานะการชำระเงินเรียลไทม์: จ่ายสำเร็จหรือไม่รู้ได้ทันที

ในการรับชำระเงินแต่ละครั้งเจ้าหน้าที่ประกันหรือตัวแทนสามารถตรวจสอบสถานะของรายการได้ว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ โดยดูผ่านระบบที่ใช้งานอยู่แล้วได้เลย หากมีรายการที่ชำระเงินไม่สำเร็จก็สามารถเข้าไปดูสาเหตุของข้อขัดข้องได้ว่าเกิดจากอะไร แล้วทำการแจ้งทางลูกค้าเพื่อให้คำแนะนำในการแก้ไขได้ทันที ตัวอย่างเช่น ชำระเงินไม่สำเร็จเพราะวงเงินในบัตรของลูกค้าไม่เพียงพอก็สามารถให้ลูกค้าทดลองทำรายการด้วยบัตรใบอื่น เป็นต้น

3. ระบบผ่อนชำระ: ช่วยแบ่งเบาภาระค่าเบี้ยประกันที่ยอดสูงๆ

ยอดชำระที่มีมูลค่า 3,000 บาทขึ้นไป สามารถเปิดให้ผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตของธนาคารชั้นนำได้เลย ช่วยลดภาระให้ฝั่งผู้เอาประกัน จากที่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ออกไป ซึ่งบางครั้งอาจมีข้อจำกัดทำให้จ่ายทีเดียวไม่ไหว แทนที่จะต้องยกเลิกกรมธรรม์ไป ก็สามารถแบ่งเป็นงวดย่อยๆ ได้ โดยที่บริษัทประกันเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร ได้รับเงินเต็มจำนวนในการชำระครั้งแรกเลย

4. จัดเก็บข้อมูลบัตร ช่วยหักค่าเบี้ยอัตโนมัติ

ประกันแบบที่ต้องต่ออายุใหม่ทุกๆ ปี หรือแบบที่เก็บค่าเบี้ยรายเดือนสามารถทำให้เป็นขั้นตอนแบบอัตโนมัติได้ทั้งหมด ผู้เอาประกันสามารถเลือกจัดเก็บข้อมูลบัตรเอาไว้และเมื่อถึงรอบเรียกเก็บครั้งต่อๆ ไปก็ไม่ต้องเสียเวลาเข้ามากดจ่ายเงินเองซ้ำๆ อีก แบบนี้นอกจากจะสะดวกแล้ว ยังช่วยบริษัทประกันและตัวแทนรักษาลูกค้าในระยะยาวได้ด้วย ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องกังวลเพราะข้อมูลบัตรจะไม่ผ่านบุคคลที่สามเลย ข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะถูกเข้ารหัส (tokenize) และเก็บรักษาไว้ภายใต้ระบบที่มีความปลอดภัยสูงของโอมิเซะ

หากสนใจนำโซลูชันด้านการรับชำระเงินของโอมิเซะไปปรับใช้กับธุรกิจ ทีมเซลส์ของเรายินดีพูดคุยและให้คำปรึกษา โปรดส่งข้อมูลเบื้องต้นถึงเราเพื่อให้ทีมงานติดต่อกลับ

บทความที่เกี่ยวข้อง:

• จากแฟ้มเอกสารหนาๆ สู่ธุรกิจประกันรูปแบบดิจิทัล